คำว่า “ธรรมธุรกิจ” เป็นคำที่ผู้ริเริ่มโครงการ คือ คุณหนาว พิเชษฐ โตนิติวงศ์ เจ้าของโรงสีศิริภิญโญ จ.ฉะเชิงเทรา ได้มาตอนบวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ เมื่อปี ๒๕๔๑ ที่วัดป่านาคำน้อย หลวงพ่ออินทร์ถวาย สันตุสสโก การบวชเรียนครั้งนั้นเป็นการบวชเรียนตามประเพณีชายไทย ที่อายุครบ ๒๐ ปี ก็จะอุปสมบทเพื่อทดแทนพระคุณพ่อแม่อุปการีเป็นระยะเวลา ๑ พรรษา ( ๓ เดือน ) ซึ่งก่อนจะบวชนั้น ชีวิตของคุณหนาว ก็เหมือนชายหนุ่มทั่วๆไป ที่เพลิดเพลินกับการใช้ชีวิตชายหนุ่ม หน้าตาดี มีฐานะ แต่ก็เคยคิดทำร้ายตัวเองจนเกือบจะฆ่าตัวตาย จากความที่คิดไม่ได้ ไม่เข้าใจว่าเกิดมาจากไหน เกิดมาทำไม เกิดมาเพื่ออะไร ตายแล้วจะไปไหน
เมื่อได้บวชเรียนศึกษาหลักธรรมของพระพุทธศาสนา หลักคิด แนวความคิด จากหลวงพ่ออินทร์ถวาย จึงเข้าใจจนสามารถตอบคำถามที่เคยสงสัยมาแล้วนั้นจนหมดสงสัยและไม่สงสัยอีกเลย แต่ยังมีอีกคำถามที่ยังไม่สามารถหาคำตอบได้แม้จะออกพรรษาและรับกฐินแล้วก็ตาม ทำให้ตัดสินใจว่าจะยังไม่ขอลาสิกขา ขอไปลาสิกขาวันปีใหม่ ๑ มกราคม ๒๕๔๒ เพราะรู้สึกเหมือนกับว่าได้ตายแล้วเกิดใหม่ จึงขอหาคำตอบขอคำถามที่ยังติดอยู่ในใจว่า “ชีวิตที่เหลือ จะไปทำอะไร เพื่อให้เหลือชาติที่ต้องกลับมาเกิดน้อยที่สุด” เมื่อเชื่อมั่นแล้วว่า ชีวิตของทุกคนเป็นไปตามกรรมและผลของกรรม ตายแล้วต้องเกิดอีกแน่นอนถ้ายังไม่หมดกิเลส วิธีการในการปฏิบัติภาวนา ที่หลวงพ่ออินทร์ถวายสอน คือ อดนอนผ่อนอาหาร คือ อาจจะไม่นอนเลยในคืนนั้น นั่ง ยืน เดิน ไม่นอน หรือ อาจจะไม่ฉันเช้า ฉันแต่น้ำปานะตอนบ่าย เพื่อภาวนาเดินปัญญาพิจารณา เหนื่อย หมดแรง ก็เข้าสมาธิ ทำจิดให้สงบ สะสมพลัง จนมีกำลังมากพอ จึงบังคับจิตให้ใช้ปัญญาใหม่อีกครั้ง ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ อดอาหารได้มากสุด ๕ วัน อดนอนได้มากสุดคืนเดียว
แต่พอลาสิกขามาจริงๆ ยังไม่สามารถใช้ชื่อ ธรรมธุรกิจ ได้แต่เพียงใช้ธรรมนำหน้าธุรกิจที่ทำเท่านั้น
จนกระทั่งเมื่อ ๓ มกราคม ๒๕๕๖ ได้มารู้จัก ยักษ์กับโจน (อาจารย์ยักษ์กับพี่โจน) พร้อมกันที่เชียงใหม่ ซึ่งเป็นการเดินทางของอาจารย์ยักษ์จะไปบุกรังโจน ครั้งแรก เมื่อคุณหนาวได้พูดคุยกับอาจารย์ยักษ์ ทำให้เกิดความท้าทายขึ้นระหว่าง เจ้าของโรงสีศิริภิญโญกับประธานมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ ว่า โครงการเกษตรอินทรีย์ที่อาจารย์กำลังทำลังเผยแพร่มาหลายสิบปีนี้ ไม่มีทางไปได้ไกลหรอก ถ้าชาวนาทั่วไปจะเลิกทำนาเคมีที่ใช้สารเคมีเต็มที่ เปลี่ยนมาทำนาธรรมชาติ ไม่ใช้สารเคมีอะไรเลย แล้วผลผลิตต่อไร่ ต้องลดลง ต้องใช้ระยะเวลา ๒ ปี ๓ ปี หรือบางคนต้องใช้เวลาถึง ๕ ปี กว่าผลผลิตต่อไร่ จึงจะกลับมาเท่าเดิม จึงเป็นเหตุผลให้ต้องมาขายข้าวอินทรีย์แพงๆ นั้น ไม่มีทางที่ชาวนาทั่วไปของประเทศจะทำตามแน่นอน อาจารย์ทำได้ไหม เลิกทำนาเคมีตั้งแต่ครั้งแรก แล้วผลผลิตต่อไร่ ไม่ลดลง คือ ได้เท่าเดิม เพราะใครก็รู้ว่าไม่ใช้สารเคมีนั้นต้นทุนลดลงแน่นอน ถ้าอาจารย์ทำได้จริง โครงการเกษตรอินทรีย์ของอาจารย์จึงจะไปได้ไกล อาจารย์ตอบกลับมาทันที ว่า ทำได้สิ ผมทำมาแล้ว ไร่ละ ๑,๑๑๓ กิโลกรัมต่อไร่ ที่ข้าวแห้งด้วยนะครับ ชาวนาที่คุณพูดมานั้น พวกนั้นทำนาไม่เป็น เอ้าทำไมอาจารย์พูดแบบนี้ ชาวนาพวกนั้นทำนามาชั่วชีวิตชาวนา ๔๐ ปี ถึง ๖๐ ปี ก็มี เออ คุณก็ทำนาไม่เป็น
ถ้าจะพิสูจน์เรื่องนี้กัน คุณไปเอาชาวนามาให้ผมสอน แล้วมาพิสูจน์กันว่าจริงไหม ทำนาแบบไม่ใช้สารเคมีใดๆเลย แล้วผลผลิตต่อไร่ไม่ลดลงตั้งแต่ครั้งแรกที่เลิกทำนาเคมี ๑ ถึง ๕ มิถุนายน ๒๕๕๖ มีการฝึกอบรมชาวนาเชียงใหม่ ที่ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติมาบเอื้อง จ.ชลบุรี ให้เป็นชาวนาธรรมชาติในโครงการธรรมธุรกิจ จำนวน ๙๐ คน แต่พอผ่านไปถึงบ่ายวันแรกของการอบรม ก็มีชาวนาจำนวนหนึ่งขอกลับบ้าน บอกว่าติดธุระด่วน มีความจำเป็นต้องกลับวันนี้ ขอรถบัสกลับด้วยหนึ่งคัน พูดคุยกันว่าแล้วที่เหลือจะกลับอย่างไร สุดท้ายชาวนาก็ได้สมาชิกครบ ๔๐ คน เต็มรถบัสพอดี
จึงเหลือชาวนาที่ผ่านการฝึกอบรมครบ ๕ วัน เพียง ๕๐ คน พอกลับไปทำนาธรรมชาติที่สัญญาใจกันเอาไว้ว่า ให้ทำเพียงแค่คนละ ๑ ไร่ เอาแปลงที่เป็นไข่แดง อยู่ตรงกลางที่ล้อมด้วยนาเคมีของตนเอง เพื่อมาพิสูจน์กันว่า ถ้าไม่ใช้ปุ๋ยเคมีแล้วจะได้ข้าวไหม ถ้าไม่ใช้ยาฆ่าแมลง แมลงแปลงที่ฉีดจะมากินแปลงที่ไม่ฉีดหมดไหม ผ่านไป ๔ เดือน มีชาวนาธรรมชาติที่ทำนาแบบไม่ใช้สารเคมีเพียง ๑๖ คน ๒๐ กว่าไร่ แต่ผลก็เป็นที่น่าพอใจคือ ได้ผลผลิตข้าวต่อไร่ เท่าเดิม มีลดลงบ้างก็ไม่มีนัยยะสำคัญ เป็นผลประจักษ์ชัดว่า ไม่ใช้สารเคมีใด ทั้งปุ๋ย ยาฆ่าหญ้า ยาฆ่าแมลง ตั้งแต่ที่เลิกทำนาเคมีครั้งแรก ก็ประสบความสำเร็จ ได้ผลผลิตต่อไร่เท่าเดิม